เทศกาล ดอกโบตั๋น
แต่กาลก่อนที่บนโลกใบนี้มิได้มีการกำหนดว่าดอกไม้ดอกใดให้เป็นที่สุด เป็น "ราชาแห่งดอกไม้" ทำให้เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ดอกไม้นานาพรรณต่างก็แข่งขันกันชูช่อเบ่งบานอวดให้ดวงตะวันชื่นชมความสวยงามของตน ด้วยความที่ไม่อยากให้มวลหมู่ดอกไม้ทะเลาะเบาะแว้งกันไปมากกว่านี้ ครั้งหนึ่งดวงตะวันจึงจัดประกวดดอกไม้ขึ้น โดยดวงตะวันจะเป็นกรรมการตรวจตรามวลหมู่ดอกไม้ทั้งหมดด้วยตัวเอง ว่าดอกไม้ดอกไหนกันแน่ที่เป็น "ราชาแห่งดอกไม้" ตัวจริง ตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนบรรดาเด็กๆ จะลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตะวันก็เริ่มออกทำงานเสียแล้ว ดวงตะวันเดินท่อมๆ ตั้งแต่ทิศตะวันออกไปจรดทิศตะวันตก พิศมองดอกไม้ทั้งหลายทั้งมวลว่ามีลักษณะเช่นไรบ้าง ช่อสูงเท่าไหร่ ดอกใหญ่เพียงไร กลีบมีกี่ชั้น หอมหรือไม่ สีสันมีกี่แบบ มีพี่น้องมากมายขนาดไหน ฯลฯ ทุกวัน ดวงตะวันต้องยุ่งเช่นนี้จนกระทั่งฟ้ามืด .... ไม่ว่าจะแห่งหนตำบลใด เมื่อดวงตะวันเดินทางผ่านดอกไม้ส่วนใหญ่ก็จะรีบเผยกลีบอวดชูความสวยสดของตนเอง ขณะที่บางดอกก็พยายามเอาใจดวงตะวันแอบกระซิบว่า ตนเองจะเปลี่ยนชื่อโดยใส่คำว่า "ตะวัน" เข้าไปในชื่อด้วย ส่วนบางดอกก็พยายามติดสินบนด้วยการส่งน้ำดอกไม้ให้ดวงตะวันชิม บ้างก็พยายามแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนโค้งคำนับอย่างสวยงามเมื่อดวงตะวันเดินผ่าน ..... ผ่านมาหลายบ่าย ดวงตะวันก็ยังตกลงปลงใจไม่ได้เสียทีว่าจะยกให้ใครเป็น "ราชาแห่งดอกไม้" ดี จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อดวงตะวันผ่านมายังนครลั่วหยาง บ้านของดอกโบตั๋น แต่กลับไม่พบโบตั๋นสักดอกออกมาแสดงการต้อนรับดังเช่นที่ผ่านมาเห็นดังนั้น ดวงตะวันจึงรู้สึกไม่พอใจและนึกในใจว่า "เจ้าดอกโบตั๋น! ดอกไม้ทั้งหลายเมื่อเห็นข้าต่างก็กุลีกุจอออกมาต้อนรับขับสู้ ดี! ข้าก็อยากรู้นักว่าเจ้าจะแน่ จะเลิศเลอสักแค่ไหน ....." กล่าวจบดวงตะวันจึงแปลงกายเป็นชายแก่เคราขาวดกเดินเข้าไปในสวนโบตั๋น ในสวนโบตั๋น ดวงตะวันในร่างชายแก่จึงพบว่าเหล่าโบตั๋นนั้นงดงามกว่าดอกไม้ใดๆ ที่ตนเคยพบเห็นมาทั้งหมด บรรดาโบตั๋นต่างมีกลีบดอกบางที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ นับไม่ถ้วน สีสันต่างก็สดสวยทั้งขาว แดง เหลือง ม่วง เขียว ฯลฯ บ้างบนกลีบก็ไล่โทนสีจากอ่อนไปแก่ บางดอกใหญ่โตดูโอฬารสูงถึง 2-3 เมตร ส่วนดอกที่ยังเล็กๆ ต่างก็แอบชื่นชมดอกใหญ่อยู่ในที โดยโบตั๋นแต่ละดอกต่างก็มีเอกลักษณ์ของตนเองแตกต่างกันไป หลังจากกลับออกมาจากสวนโบตั๋น .... เช้าวันรุ่งขึ้น ดวงตะวันก็ประกาศยกให้ "โบตั๋นเป็นราชาแห่งดอกไม้ทั้งมวล " โดยไม่มีดอกไม้อื่นใดในโลกหล้ากล้าส่งเสียงคัดค้านแต่อย่างใด
ดอกโบตั๋นสำหรับชาวจีน นอกจากจะมีความหมายเกือบจะเป็นดอกไม้ประจำชาติแล้ว เนื่องจากความใหญ่อลังการของลักษณะดอก ยังทำให้โบตั๋นเป็นสัญลักษณ์ถึงความเป็นผู้ดี ความร่ำรวยและฐานะอันสูงส่ง ในจีนสมัยโบราณ ดอกโบตั๋นที่สวยๆ นั้นมีการเพาะเลี้ยงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในหมู่ชนชั้นสูง เป็นงานอดิเรก เพื่อความสวยงาม จนถึงขั้นเพาะเพื่อประมูลขายกันในราคาเสียดฟ้า ดังเช่นที่ ไป๋จวีอี้ กวีถัง หนึ่งในสุดยอดกวีแห่งประวัติศาสตร์จีนระบุไว้ในบทกวีที่ชื่อว่า ซื้อดอกไม้ ว่า อี้ฉงเซินเซ่อฮวา สือฮุจงเหรินฝู้ ความหมายของบทกวีท่อนนี้ พยายามสะท้อนให้เห็นว่า ในขณะนั้น โบตั๋นเพียงไม่กี่ดอกยังมีมูลค่ามากกว่าเงินภาษีของชนชั้นกลางสิบคนเสียอีก ภาพที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางด้านรายได้ และความเป็นอยู่ของประชาชนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน โดยเพียงแค่ไม่ดอกของเล่นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งของเศรษฐีบรรดาสามัญชนก็มิมีสิทธิ์ที่จะคิดหรือฝันถึง ด้วยเหตุนี้ทำให้ในสมัยก่อนสามัญชน รวมไปถึงกวีชาวจีนบางกลุ่มจึงไม่นิยมชมชอบดอกโบตั๋นเท่าไรนัก แต่หันไปชื่นชมดอกไม้อื่นที่ สวยงาม และ เรียบง่ายกว่าแทน เมื่อได้อ่านบทกวีดังกล่าวแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ เพราะ ถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปเพียงใด 'ประวัติศาสตร์' ก็ยังคงเป็นกงล้อที่หมุนทับรอยเดิมจริงๆ
ปัจจุบัน ทุกปีในช่วงเดือนเมษายน ที่เมืองลั่วหยางจะมีการจัดเทศกาลดอกโบตั๋น อย่างอลังการ คึกคัก และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยเทศกาลดอกโบตั๋นนี้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาจากทุกสารทิศ ทั้งในจีนและต่างประเทศ จนทำให้ในช่วงเดือนเมษายน ที่พัก โรงแรม และทัวร์มาลั่วหยางนั้นจะมีราคาแพงกว่าช่วงเวลาอื่นๆ สำหรับแหล่งชมดอกโบตั๋นที่มีชื่อเสียงมากในเมืองลั่วหยางนั้นได้แก่ สวนสาธารณะหวังเฉิง ที่มีสวนปลูกดอกโบตั๋น 500 กว่าพันธุ์รวม 3 พันกว่าต้น และตั้งอยู่บนพื้นที่อันเป็นที่ตั้งเดิมของพระราชวังของกษัตริย์จีนในสมัยโจวตะวันออก